วิธีรักษารอยดำและรอยแดงจากสิว

วิธีรักษารอยสิว: รอยดำ และรอยแดงที่เกิดจากสิว รักษาอย่างไร

ปัญหารอยดำ และรอยแดงจากสิว (Acne Scar) เกิดจากสิวอุดตันหรือสิวอักเสบที่ยุบตัวลง หรือเกิดจากการที่ผิวได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากการบีบสิว หรือการกดสิว หรืออีกหนึ่งสาเหตุคือ การที่ไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดแล้วทำให้ผิวได้รับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว ซึ่งจะทำให้รอยสิวเข้มขึ้นได้ โดยในปัจจุบันมีการรักษารอยดำ และรอยแดงจากสิวหลากหลายวิธี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยสิว การทำทรีทเม้นท์ หรือการทำเลเซอร์ เป็นต้น

สาเหตุของการเกิดรอยดำ และรอยแดงจากสิว

รอยแดงจากสิว เกิดจากอะไร ?

รอยแดง หรือ Post-inflammatory Erythema (PIE): เป็นการอักเสบเนื่องจากการที่ผิวป้องกันตัวเองจากเชื้อโรค หรือเชื้อที่ทำให้เกิดการแพ้ เป็นสาเหตุให้เกิดสิว โดยการที่มีการขยายของหลอดเลือดเพื่อส่งสารอนุมูลอิสระมาทำลายเชื้อสิว แต่การทำลายของสารอนุมูลอิสระ ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นถูกทำลายไปด้วย ทำให้เกิดเป็นรอยแดงขึ้น แต่เมื่อการอักเสบหายไป หลอดเลือดปกติแล้ว รอยแดงก็จะหายไป กลายเป็นรอยดำแทน

รอยดำจากสิว เกิดจากอะไร ?

รอยดำ หรือ Post-inflammatory Hyperpigmentation (PIH): เกิดขึ้นหลังจากที่เชื้อสิวถูกทำลายหมดแล้ว แต่สารอนุมูลอิสระยังทำลายเชื้อสิวอยู่ เซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดสี (Melanocyte) จึงสร้างเม็ดสีเมลานินมาดูดซับสารอนุมูลอิสระ ซึ่งรอยดำมาจากการที่เม็ดสีเมลานินถูกสร้างออกมามากเกินไปนั่นเอง

การรักษารอยดำ และรอยแดงจากสิว

1. การรักษาโดยการใช้เลเซอร์รักษารอยสิว

การใช้เลเซอร์รักษารอยสิว นอกจากจะทำให้รอยดำ และรอยแดงจากสิวดูจางลงแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ ริ้วรอยจางลง และผิวดูเรียบเนียนขึ้น ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้จะทำให้รอยดำ และรอยแดงจากสิวดีขึ้นได้ถึง 90% โดยควรเข้ารับการรักษาอย่างน้อยทุก ๆ 2-4 สัปดาห์

2. การรักษาโดยการฉีดเมโสหน้าใส

การฉีดเมโสหน้าใส เป็นการนำสารสกัดที่มีส่วนประกอบของวิตามินต่าง ๆ และสารบำรุงผิวมาผสมกัน แล้วฉีดเข้าไปที่ผิวชั้นกลางของผิวหน้าโดยตรง ซึ่งวิธีนี้จะเป็นการกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส

ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น ช่วยลดความมันส่วนเกินบนผิวหน้า และยังช่วยลดการอักเสบของสิวอีกด้วย โดยการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวจะเห็นผลชัดเจนภายใน 7-14 วัน

3. การรักษาโดยการบำบัดด้วยความเย็น (Cryotherapy)

การรักษาด้วยความเย็นบำบัด (Cryotherapy) เป็นการใช้เครื่องพ่นไนโตรเจนเหลว หรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอุณหภูมิต่ำ ไปยังส่วนที่เป็นรอยในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อให้เซลล์ผิวบริเวณนั้นตาย และสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่นั่นเอง วิธีนี้นอกจากจะช่วยรักษารอยสิวได้แล้ว ยังสามารถใช้รักษาสิวผดได้อีกด้วย แต่วิธีนี้จะนิยมใช้ร่วมกับการรักษาแบบอื่นด้วย เช่น การฉีดสเตียรอยด์

4. การรักษาด้วยวิธีการกรอผิวหน้า (Dermabrasion)

การรักษาด้วยการกรอผิวหน้า (Dermabrasion) เป็นวิธีที่ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกไป และเป็นการกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว เกิดการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

5. การรักษาโดยการใช้ยาทาลดรอย

ยาทาลดรอยดำ และรอยแดงจากสิวที่นิยมนำมาใช้ในการรักษา เป็นยาทาที่มีส่วนประกอบ ดังนี้

– ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของสีผิว นิยมใช้ในการรักษาเกี่ยวกับภาวการณ์สร้างเมลานินมากผิดปกติจนเกิดเป็นรอยดำ ฝ้า และกระ แต่หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวและเกิดเป็นฝ้าถาวรได้

– เตรทติโนอิน (Tretinoin) เป็นตัวยาที่ใช้รักษาสิวอุดตัน และสิวอักเสบ และยังสามารถยับยั้งการผลิตเม็ดสีที่เกิดเป็นรอยดำจากสิวได้อีกด้วย ทั้งนี้หากใช้มากเกินไปอาจเกิดการระคายเคืองผิวได้ จึงควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

– วิตามิน ซี (Vitamin C) จะมีเอนไซม์ Tyrosinase ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของรอยแดงได้ และยังป้องกันการเกิดรอยแดงจากรังสียูวีได้อีกด้วย

– อาร์บูติน (Arbutin) เป็นสารสกัดธรรมชาติที่มาจากพืชหลายชนิด ได้แก่ มัลเบอร์รี่, แบเบอร์รี่, แครนเบร์รี่ และลูกแพร์ ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ผิวให้ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นตัวการให้เกิดรอยดำจากสิวนั่นเอง

– กรดไกลโคลิค (Glycolic Acid) เป็นกรดผลไม้ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น

– ไนอาซีไมด์ หรือวิตามินบี 3 (Niacin amide) เป็นกลุ่มวิตามินบี ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิว ทำให้รอยดำ และรอยแดงจากสิวดูจางลง